welcome to my blog!

ยินดีต้อนรับผู้เข้าชม Blog ทุกท่านค่ะ

วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2553

นิทานชีวิตจากกบตัวน้อย ๆ !

เรื่องของกบตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
บทเรียนของชีวิต...
ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มของลูกกบตัวเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง...
ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน เพื่อจะปีนขึ้นไปยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง
มีกลุ่มชนชาวกบมากมาย มารอชม และเชียร์การแข่งขันครั้งนี้...

การแข่งขันเริ่มขึ้น...
ไม่มีชนชาวกบตัวใด เชื่อว่า จะมีกบตัวใดที่จะสามารถปีนขึ้นไปสู่ยอดเสาได้
มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยินเป็นต้นว่า
"เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดได้หรอก ก็มันยากถึงขนาดนั้นน่ะ"
"เขาไม่มีโอกาสจะทำได้สำเร็จหรอก เสามันสูงมากเลยนะ"
"ไม่มีใครทำได้หรอก คอยดูสิ"

เจ้ากบตัวน้อย ๆ เหล่านั้น เริ่มที่จะร่วงหล่นลงไปทีละตัว
แต่ก็มีบางตัวที่ยังมุ่งมั่น ปีนสูงขึ้น ๆ
ฝูงกบที่คอยดูอยู่ ก็เริ่มส่งเสียงร้อง
"มันยากเกินไป ไม่มีใครทำได้หรอก!"

กบส่วนใหญ่เริ่มยอมแพ้...
แต่มีกบตัวหนึ่ง ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนสูงขึ้น ๆ
มันไม่ยอมแพ้!

เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบตัวอื่น ๆ ต่างยอมแพ้ ยกเว้นเจ้ากบตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่ง
และด้วยความพยายามของมันอย่างสุดกำลัง และแล้ว..
มันก็สามารถปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้!

กบทุกตัวต่างสงสัยว่า เจ้ากบตัวนั้นทำได้อย่างไร?
กบคู่แข่งขันต่างก็อยากรู้ว่า เจ้ากบตัวนั้นมันมีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสาได้อย่างไร?

เรื่องกลับกลายเป็นว่า....กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!!!!

เพราะฉะนั้น....
จงทำหูหนวก ต่อคำพูดของคนอื่นที่บอกว่า คุณไม่สามารถทำความฝันของคุณให้เป็นจริงได้!

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

แบ่งปันประสบการณ์ ที่พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ

สวัสดีจ้า! เพื่อน ๆ ที่น่ารักทุกคนวันนี้เราก็มีประสบการณ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มาฝากกัน


เมื่อวันเสาร์ ที่ 25 กันยายน 2553 หลังจากที่พวกเราสอบเสร็จแล้ว ทางโรงเรียนก็ได้จัดกิจกรรม พานักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ไปทัศนศึกษา และสถานที่ที่พวกเราไปก็คือ พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณและเมืองโบราณ ที่แรกที่พวกเราไปก็คือ >>




พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ (The Erawan Museum)


ก่อนอื่นเรามารู้จักช้างเอราวัณกันก่อน เพื่อน ๆ อาจจะรู้จักช้างเอราวัณกันมาบ้างแล้ว อาจจะเป็นในบทเรียน ช้างเอราวัณเป็นเทพบุตร เมื่อพระอินทร์จะเสด็จไปที่ใด เทพบุตรนั้นก็จะแปลงกายกลายเป็นช้างเอราวัณ เป็นช้างทรงของพระอินทร์ ที่จริงแล้วช้างเอราวัณในที่ปรากฎในตำรา มีเศียรถึง 33 เศียร ดังบทกลอนที่บรรยายถึงลักษณะของช้างเอราวัณ

อินทรชิตบิดเบือนกายิน เหมือนองค์อมรินทร์ ทรงคชเอราวัณ
ช้างนิรมิตฤทธิแรงแข็งขัน เผือกผ่องผิวพรรณ สีสังข์สะอาดโอฬาร์
สามสิบสามเศียรโสภา เศียรหนึ่งเจ็ดงา ดังเพชรรัตน์รูจี
งาหนึ่งเจ็ดโบกขรณี สระหนึ่งย่อมมี เจ็ดกออุบลบันดาล
กอหนึ่งเจ็ดดอกดวงมาลย์ ดอกหนึ่งแบ่งบาน มีกลีบได้เจ็ดกลีบผกา
กลีบหนึ่งมีเทพธิดา เจ็ดองค์โสภา แน่งน้อยลำเพานงพาล
นางหนึ่งย่อมมีบริวาร อีกเจ็ดเยาวมาลย์ ล้วนรูปนิรมิตมารยา
จับระบำรำร่ายส่ายหา ชำเลืองหางตา ทำทีดังเทพอัปสร
มีวิมานแก้วงามบวร ทุกเกศกุญชร ดังเวไชยันต์อมรินทร์
เครื่องประดับเก้าแก้วโกมิน ซองหางกระวิน สร้อยสายชนักถักทอง
ตาข่ายเพชรรัตน์ร้อยกรอง ผ้าทิพย์ปกตระพอง ห้อยพู่ทุกหูคชสาร
โลทันสารถีขุนมาร เป็นเทพบุตรควาญ ขับท้ายที่นั่งช้างทรง
บรรดาโยธาจัตุรงค์ เปลี่ยนแปลงกายคง เป็นเทพไทเทวัญ
ทัพหน้าอารักขไพรสัณฑ์ ทัพหลังสุบรรณ กินนรนาคนาคา
ปีกซ้ายฤาษิตวิทยา คนธรรพ์ปีกขวา ตั้งตามตำรับทัพชัย
ล้วนถืออาวุธเกรียงไกร โตมรศรชัย พระขรรค์คทาถ้วนตน
ลอยฟ้ามาในเวหน รีบเร่งรี้พล มาถึงสมรภูมิชัย



แต่เพื่อง่ายในการสร้าง และความสวยงาม จึงลดรูปช้างเอราวัณเหลือเพียง 3 เศียร






พิพิธภัณฑ์ช้างเอราวัณ ตั้งอยู่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ผู้สร้างพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือ คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เจ้าของวิริยะประกันภัยนั่นเอง เมื่อเข้าไปถึง จุดเด่นที่ไม่ว่าใครที่ไปก็ต้องเห็นเด่นมาแต่ไกลก็คือ หุ่นจำลองช้างเอราวัณตัวใหญ่ยักษ์ที่ตั้งอยู่เหนือยอดโดมของอาคารที่เป็นส่วนของพิพิธภัณฑ์ หุ่นจำลองช้างเอราวัณนี้มีความสูงราว ๆ ตึก 14 ชั้น น้ำหนัก 150 ตัน ภายในตัวอาคารแยกเป็น 3 ชั้น ตามความเชื่อในหลักไตรภูมิ คือ ชั้นบาดาล ชั้นโลกมนุษย์ และชั้นสวรรค์ ชั้นแรกเขาให้ชื่อว่าเป็นชั้นบาดาล เขาไม่ให้ถ่ายรูปนะจ๊ะ ก็เลยไม่มีภาพมาให้เพื่อน ๆ ดู ชั้นนี้เขาจะจัดแสดงของเก่าที่เป็นของสะสมของคุณเล็ก วิริยะพันธุ์ เช่น พระพุทธรูป เครื่องถ้วยชาม แจกัน ชุดน้ำชา มีรูปองค์จำลองมนุษยนาค นั่งอยู่กึ่งกลางห้อง สร้างขึ้นตามความเชื่อเพื่อให้มนุษยนาคคอยดูแลโบราณวัตถุที่อยู่ใต้น้ำ


ถัดขึ้นไปจะเป็นชั้นโลกมนุษย์ มีงานศิลปะให้ชม 3 ประเภทด้วยกัน งานปูนปั้นสดประดับด้วยเครื่องถ้วยเบญจรงค์ งานต้นเสาดีบุกดุนลาย และกระจกสี Stain Glass จะมีบันไดให้เราขึ้นไปสู่ชั้นสวรรค์ ชั้นนี้ถ่ายรูปได้ ก็เลยถ่ายรูปมาให้ดูกันจ้า


ด้านในของชั้นโลกมนุษย์





ตรงนี้จะมีพระโพธิ์สัตว์กวนอิม ให้เราได้บูชาสักการะ



ตรงส่วนนี้คือเพดานของโดมที่จะทำเป็นรูปกลุ่มดาวบนท้องฟ้า ให้เหมือนว่าเราอยู่ในโลกมนุษย์




รูปปั้นปลาอานนท์อยู่ใต้บันได ที่ทำเป็นรูปปั้นปลาอานนท์ก็เพราะเชื่อกันว่า ปลาอานนท์หนุนโลกอยู่


ชั้นต่อมาคือชั้นสวรรค์ เป็นส่วนของการจัดเก็บองค์พระพุทธรูปที่มีอายุสมัยเก่าแก่ ซึ่งยังมีงานศิลปะบนผนังท้องช้างที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับระบบสุริยะจักรวาล เป็นเทคนิคสีฝุ่นฝีมือช่างชาวเยอรมัน มีรูปมาให้ดูกันจ้า



ด้านในของชั้นสวรรค์ มีพระพุทธรูปให้เราได้สักการะ


ที่เห็นเป็นดวงไฟข้างบน ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเป็นบริเวณเศียรของช้าง

บรรยากาศข้างนอก รอบตัวอาคารจะมีการจัดแต่งสวนให้เป็นเหมือนสวนในวรรณคดี มีรูปมาให้ดูกัน



สวนที่จัดขึ้นเพื่อความสวยงามและร่มรื่น


บริเวณโดยรอบ





รูปปั้นสัตว์ในวรรณคดี





และเพื่อน ๆ ที่น่ารักของเรา



เพื่อน ๆ คนไหนสนใจ ก็สามารถชวนคุณพ่อคุณแม่ไปเที่ยวกันได้นะ ^^

หาข้อมูลเพื่อเติมได้ที่ http://www.erawan-museum.com/thai/main.html จ่ะ

นิทานนานนาน!

สวัสดีเพื่อน ๆ เราไปอ่านเจอนิทานตำนานนี้ อ่านแล้วก็ขำขำดี ก็เลยเอามาเล่าให้ฟังกัน
มีชื่อเรื่องว่า >>
ตำนาน "ขนมครก"

ไอ้กะทิ หนุ่มน้อยแห่งดงมะพร้าวเตี้ย แอบมีความรักกับ หนูแป้ง สาวสวยประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นลูกสาวคนเดียวของผู้ใหญ่บ้าน ทั้งคู่เจอกันวันลอยกระทง และสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ ไม่ว่าข้างหน้าแม้จะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอยึดมั่นความรักแท้ที่มีต่อกันชั่วฟ้าดินสลาย

ไอ้กะทิ ก้มหน้าก้มตาเก็บหอมรอมริบหาเงินเพื่อมาสู่ขอลูกสาวจากผู้ใหญ่บ้านแต่กลับถูกปฏิเสธแถมยังโดนผู้ใหญ่ส่งชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธครบมือมาลอบทำร้าย แต่ไอ้กะทิก็ไม่ว่ากระไร มันพาร่างอันสะบักสะบอมกลับไปบ้าน นอนหยอดน้ำข้าวต้มซะหลายวัน แต่ใจยังตั้งมั่นว่า วันหน้าจะมาสู่ขอหนูแป้งใหม่จนกว่าผู้ใหญ่จะใจอ่อน

แต่แล้วความฝันของไอ้กะทิ ก็พังพินาศเมื่อผู้ใหญ่ยก หนูแป้ง ลูกสาวคนสวยให้แต่งงานกับปลัดหนุ่มจากบางกอก ไอ้กะทิ รู้ข่าวจึงรีบกระเสือกกระสนหมายจะมายับยั้งการแต่งงานครั้งนี้ ซึ่งผู้ใหญ่บ้านก็วางแผนป้องกันไว้แล้ว โดยขุดหลุมพรางดักรอไว้ แต่แม่แป้งแอบได้ยินแผนร้ายเสียก่อน จึงลอบหนีออกมาหมายจะห้ามหนุ่มคนรักไม่ให้ตกหลุมพราง

คืนนั้นเป็นคืนเดือนแรม หนูแป้งวิ่งฝ่าความมืดออกมาเพื่อดักหน้าไอ้กะทิ ไอ้กะทิเห็นหนูแป้งวิ่งมาก็ดีใจทั้งคู่รีบวิ่งเข้าหากัน ฉับพลัน!!...ร่างของหนูแป้งก็ร่วงหล่นลงไปในหลุมพรางของผู้ใหญ่ฯผู้เป็นพ่อ ต่อหน้าต่อตาไอ้กะทิ นายกะทิก็รีบกระโดดตามลงไปเพื่อช่วยเหลือหนูแป้ง สมุนชายฉกรรจ์ของผู้ใหญ่บ้านซึ่งแอบซุ่มอยู่ ก็รีบเข้ามาโกยดินฝังกลบหลุมที่ทั้งคู่หล่นลงไป เพราะคิดว่าในหลุมมีเพียงไอ้กะทิผู้เดียว ...

รุ่งเช้าผู้ใหญ่บ้านสั่งให้ขุดหลุมเพื่อดูผลงาน แทบไม่เชื่อสายตาเบื้องล่างปรากฏร่างของ ไอ้กะทิตระกองกอดทับร่างหนูแป้งลูกสาวของตน ทั้งสองนอนตายคู่กันอย่างมีความสุข เมื่อรอยยิ้มถูกเปลี่ยนเป็นน้ำตา ผู้ใหญ่บ้านรำพึงต่อหน้าศพของลูกสาวว่า..

"พ่อไม่น่าคิดทำลายความรักของลูกเลย"

ตั้งแต่นั้นมาอนุสรณ์แห่งความรักที่กระทำสืบทอดกันมาจนเป็นประเพณี ทุกแรม ๖ ค่ำ เดือน ๖ ชาวบ้านที่ศรัทธาในความรักของไอ้กะทิ กับ แม่แป้ง ก็จะตื่นตั้งแต่เช้ามืด เข้าครัวเพื่อทำขนมที่หอมหวานปรุงจากแป้ง และกะทิ บรรจงหยอดลงหลุม พอสุกได้ที่ก็แคะจากหลุม แล้วนำมาวางคว่ำหน้าซ้อนกันเป็นสัญลักษณ์ว่า "จะได้อยู่ร่วมกันตลอดไป" ขนมนี้จึงถูกเรียกขานกันในนาม "ขนมแห่งความรัก" หรือ ขนม คน-รัก-กัน ต่อมาถูกเรียกย่อ ๆ ว่า 'ขนม ค-ร-ก' นั่นเอง

เป็นไงบ้าง ไม่รู้ว่าจะเศร้า หรือขำดี ^^ เรื่องมันก็เป็นมาอย่างนี้แหละ

มีให้อ่านอีกเยอะที่ http://www.everykid.com/once%20upon...html ขอบคุณค่ะ!^^